Ederson ย้ายไปเฟเนร์บาห์เช่

Ederson ย้ายไปเฟเนร์บาห์เช่ เปิดใจเหตุผลลาทีมแชมป์อย่างแมนซิตี้

ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา หนึ่งในข่าวใหญ่ของฝั่งแชมป์เก่าแมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือการที่ Ederson ย้ายไปเฟเนร์บาห์เช่ อย่างเป็นทางการ ปิดฉากเวลา 8 ปีในถิ่นเอติฮัด สเตเดียม แบบสุดยิ่งใหญ่ เขาย้ายออกไปยังเฟเนร์บาห์เช่ ด้วยค่าตัวราว 12 ล้านปอนด์ หลังช่วยทีมคว้าแชมป์รวม 18 โทรฟี่ รวมถึงพรีเมียร์ลีก 6 สมัย และยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 1 ครั้ง ตลอดเส้นทางกว่า 370 นัดกับเรือใบสีฟ้า

ดีลนี้เกิดขึ้นควบคู่กับการที่แมนฯ ซิตี้ดึง จานลุยจิ ดอนนารุมมา จากปารีส แซงต์-แชร์กแมง เข้ามารับช่วงต่อในตำแหน่งผู้รักษาประตูมือหนึ่ง ทำให้หลายคนมองว่านี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญของยุคใหม่ในทีมของ Pep Guardiola และเป็นจุดเริ่มต้นบทใหม่ของเอแดร์ซอนกับเฟเนร์บาห์เช่ในวัย 32 ปี

ทำไม Ederson ถึงเลือกย้ายออก ทั้งที่ยังเป็นตัวหลักให้แมนซิตี้?

แม้แฟนบอลจำนวนมากจะมองว่า เอแดร์ซอน ยังมีที่ยืนในพรีเมียร์ลีก และยังเล่นในระดับสูงได้อีกหลายปี แต่เจ้าตัวกลับยอมรับแบบตรงไปตรงมาในการให้สัมภาษณ์ช่วงรับใช้ทีมชาติบราซิลว่า ช่วงท้ายกับแมนฯ ซิตี้ เขาเริ่ม “ไม่มีความสุข” ทั้งจากอาการบาดเจ็บที่รบกวนหลายครั้ง และความรู้สึกอิ่มตัวกับสภาพแวดล้อมเดิมๆ

รายงานจากสื่อต่างประเทศระบุว่า เขาเคยพยายามขอย้ายทีมตั้งแต่ฤดูกาลก่อน แต่ดีลไม่เกิดขึ้นจริง ทำให้ต้องอยู่ลงเล่นต่อในสถานการณ์ที่สภาพร่างกายไม่เต็มร้อย และมีข่าวลือเรื่องอนาคตตามหลอกหลอนอยู่ตลอด จนส่งผลต่อฟอร์มและสภาพจิตใจในสนามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เอแดร์ซอนเล่าว่า การตัดสินใจย้ายออกเป็นเรื่องที่คุยกับครอบครัวอย่างจริงจัง เขามองว่า

“ถ้าเราไม่รู้สึกมีความสุข การอยู่กับสโมสรใหญ่แค่เพราะชื่อเสียงก็ไม่มีประโยชน์”

ดังนั้นเมื่อข้อเสนอจากเฟเนร์บาห์เช่เข้ามา พร้อมโอกาสลงเล่นสม่ำเสมอในสภาพแวดล้อมใหม่ เขาจึงเลือกตอบรับและ “ขอเริ่มต้นหายใจฟุตบอลอีกครั้ง” ในตุรกี

บทสรุป 8 ปีทองกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้

นับตั้งแต่ย้ายจากเบนฟิก้าในปี 2017 เอแดร์ซอนลงเฝ้าเสาให้แมนฯ ซิตี้ 372 นัด เก็บคลีนชีตได้มากกว่า 160 นัดในทุกรายการ คว้ารางวัล Premier League Golden Glove สามสมัย และกลายเป็นหนึ่งในคีย์แมนของระบบการเล่นที่เน้น “สร้างเกมจากแนวรับ” ของ Pep Guardiola แทบทุกฤดูกาล

แมนฯ ซิตี้ให้เกียรติกับการอำลาครั้งนี้อย่างเต็มที่ สโมสรออกแถลงยกย่องว่าเขาคือหนึ่งในผู้รักษาประตูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร ขณะที่ Pep และทีมงานยอมรับตรงกันว่า หากไม่มีเอแดร์ซอน การครองบอลจากแนวหลังและการเปลี่ยนจากรับเป็นรุกในยุคทองของซิตี้คงไม่ลื่นไหลแบบที่เห็นในสนาม

นอกจากนี้ มีรายงานว่า Pep ขอให้เอแดร์ซอน “กลับมาลาอย่างเป็นทางการต่อหน้าแฟนบอลที่เอติฮัด” ในอนาคต หากโปรแกรมของทั้งสองฝ่ายเปิดโอกาสให้ทำได้ ถือเป็นการปิดฉากอย่างสวยงามระหว่างสโมสรกับผู้เล่นที่ช่วยพาทีมคว้าแชมป์เกือบทุกรายการที่ลงแข่งขัน

ดีลเฟเนร์บาห์เช่: ค่าเหนื่อย 11 ล้านยูโรต่อปีและเป้าหมายใหม่ในตุรกี

หลังจาก Ederson ย้ายไปเฟเนร์บาห์เช่ ดีลถูกยืนยันอย่างเป็นทางการในช่วงต้นเดือนกันยายน 2025 โดยเขาเซ็นสัญญา 3 ปี พร้อมออปชั่นขยายเพิ่ม 1 ปี และรับค่าเหนื่อยราว 11 ล้านยูโรต่อฤดูกาลกับยักษ์ใหญ่แห่งซูเปอร์ ลีก ตุรกี

เฟเนร์บาห์เช่ต้องการใช้ประสบการณ์ของเอแดร์ซอนในการพาทีมลุ้นแชมป์ลีกต่อเนื่อง และยกระดับผลงานในฟุตบอลยุโรป ทั้งในเวทียูโรปาลีกหรือยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก หลังจากก่อนหน้านี้สโมสรมีโปรเจกต์เสริมทัพหลายตำแหน่งเพื่อกลับมาเป็นขาประจำในเวทียุโรปอีกครั้ง

เจ้าตัวอธิบายว่าบรรยากาศฟุตบอลในตุรกี “เข้มข้นและเต็มไปด้วยอารมณ์ร่วม” ทั้งจากแฟนบอลในสนามและการนำเสนอของสื่อท้องถิ่น ซึ่งช่วยจุดประกายความรู้สึกอยากลงเล่นทุกสัปดาห์อีกครั้ง แตกต่างจากช่วงท้ายที่อังกฤษซึ่งเต็มไปด้วยอาการบาดเจ็บและเครื่องหมายคำถามเรื่องอนาคต

จากเรือใบสู่แดนไก่งวง: มุมมองของแฟนบอลและสายวิเคราะห์เกม

สำหรับบรรณาธิการพรีเมียร์ลีกและแฟนบอลที่ติดตามข่าวตลาดนักเตะมาอย่างต่อเนื่อง การที่ Ederson ย้ายไปเฟเนร์บาห์เช่ ไม่ได้เป็นเพียงดีลเปลี่ยนสีเสื้อของผู้รักษาประตูคนหนึ่งเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นอีกด้านของฟุตบอลยุคใหม่ด้วยว่า

  • ต่อให้ประสบความสำเร็จระดับคว้าแชมป์เกือบทุกถ้วย

  • ต่อให้เล่นอยู่ในทีมที่ถูกมองว่า “ดีที่สุดในโลก” ช่วงหนึ่ง

สุดท้ายแล้ว นักเตะก็ยังต้องเลือกเส้นทางที่ทำให้ตัวเอง “มีความสุขกับฟุตบอล” เป็นหลักอยู่ดี

ในเชิงวิเคราะห์ผลการแข่งขัน แฟนบอลที่ชอบดูฟอร์มทีมและใช้ข้อมูลประกอบการ แทงบอลออนไลน์ ย่อมจับตาดูว่า เฟเนร์บาห์เช่ภายใต้การเฝ้าเสาของเอแดร์ซอนจะเหนียวแน่นขึ้นแค่ไหน เกมรับจะมั่นคงขึ้นเพียงใด และจะส่งผลต่อโอกาสลุ้นแชมป์ลีกรวมถึงผลงานในฟุตบอลยุโรปอย่างไรในระยะยาว

สรุป: แชมป์ 18 โทรฟี่จบลง แต่เส้นทางใหม่เพิ่งเริ่มต้น

ดีล Ederson ย้ายไปเฟเนร์บาห์เช่ คือการปิดฉาก 8 ปีทองในอังกฤษ และเป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางใหม่ในตุรกีของผู้รักษาประตูระดับโลกที่เลือก “ความสุข และการได้เล่นฟุตบอลอย่างเต็มที่” มากกว่าการอยู่ในทีมใหญ่เพียงเพราะชื่อเสียง

สำหรับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ นี่คือการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคใหม่ภายใต้การมาของ จานลุยจิ ดอนนารุมมา ขณะที่ฝั่งเฟเนร์บาห์เช่ พวกเขาได้ทั้งประสบการณ์ แชมป์ และคาแรกเตอร์ของแชมป์พรีเมียร์ลีกมาช่วยยกระดับห้องแต่งตัวอีกขั้น

จะเรียกว่าเป็นดีลที่ทุกฝ่าย “ได้สิ่งที่ต้องการ” ก็ไม่ผิดนัก เหลือเพียงว่าบทต่อไปในตุรกีของเอแดร์ซอนจะถูกเขียนออกมาในรูปแบบไหนเท่านั้นเอง