พอล เมอร์สัน นักวิเคราะห์ลูกหนังของ Sky Sports เชื่อว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกำลังเริ่มเดินมาถูกทาง หลังคว้าชัยเหนือไบรท์ตันในเกมพรีเมียร์ลีกล่าสุด โดยมองว่านี่ไม่ใช่แค่สามแต้มธรรมดา แต่เป็นสัญญาณว่าทีมเริ่มกลับมามีความมั่นใจและมีจังหวะของตัวเองอีกครั้ง.
เมอร์สันอธิบายว่า เกมกับไบรท์ตันไม่ใช่งานง่ายเลย เขามองว่าเป็น “เกมเปลือกกล้วย” คือเกมที่ดูเหมือนควรชนะ แต่จริง ๆ แล้วพร้อมทำให้ทีมสะดุดตลอดเวลา เพราะถ้าพลิกแพ้ขึ้นมา โมเมนตัมที่กำลังสร้างสามารถพังได้ทันที.
เขายอมรับว่าแม้ยูไนเต็ดจะเริ่มเก็บชัยชนะมาแบบต่อเนื่อง แต่ก่อนเตะกับไบรท์ตัน เขายังมีความกังวลอยู่ดี เพราะนี่คือคู่แข่งที่มักสร้างปัญหาให้ปีศาจแดงในช่วงหลัง
“นี่คือเกมที่ผมมองว่าน่ากลัวสำหรับพวกเขาจริง ๆ เป็นเกมที่พร้อมทำให้สะดุดได้ง่ายมาก” เมอร์สันกล่าว พร้อมย้ำว่าชัยชนะเกมนี้มีความหมายเกินกว่าตัวสกอร์
รายละเอียดเล็ก ๆ ในเกมที่เปลี่ยนผลลัพธ์
เมอร์สันบอกว่า ฟุตบอลบางครั้งตัดสินกันด้วยเสี้ยววินาทีและเสี้ยวการตัดสินใจ เช่น จังหวะดึงเสื้อ จังหวะจับบอลแรก หรือแม้แต่การตัดสินของผู้ตัดสิน ถ้าเหตุการณ์เล็ก ๆ เหล่านั้นเปลี่ยนไป เกมก็อาจหันไปอีกฝั่งทันที
เขายกตัวอย่างว่ามีจังหวะฟาวล์ดึงเสื้อซึ่งเกือบสร้างปัญหาใหญ่ให้แมนฯ ยูไนเต็ด และถ้าอีกฝ่ายเก็บบอลแรกได้ดีกว่านี้ สถานการณ์อาจกลายเป็นใบแดงให้ฝั่งตรงข้ามได้เปรียบ ตั้งแต่นาทีต้น ๆ ของเกม ซึ่งแปลว่าสกอร์สุดท้ายอาจไม่ออกมาแบบที่เห็น
สิ่งที่เขาต้องการสื่อคือ ตอนนี้แมนฯ ยูไนเต็ดเริ่มมี “จังหวะที่เข้าทาง” มากขึ้น หรือพูดง่าย ๆ คือเริ่มมีโชคในช็อตสำคัญ ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ทีมแทบไม่มีเลยในหลายแมตช์ที่ผ่านมา.
ความมั่นใจกลับมา = นักเตะชุดเดิม แต่เล่นดูคนละทีม
เมอร์สันบอกชัดว่า นักเตะแมนฯ ยูไนเต็ด “ไม่ได้แย่” อยู่แล้ว ปัญหาใหญ่ก่อนหน้านี้คือความมั่นใจที่หายไปทั้งทีม พอขวัญกำลังใจตก ทุกอย่างดูช้าไปหมด ตัดสินใจพลาดง่าย ๆ แล้วเกมก็ไหลไปผิดทาง
ตอนนี้สิ่งที่เห็นแตกต่างคือ คนที่เป็นตัวหลักของทีมเริ่มเล่นได้ตามมาตรฐานในจังหวะสำคัญ ทั้งเกมรุกและเกมรับ ทำให้ฟีลลิ่งของทีมโดยรวมดูมั่นคงขึ้น และบรรยากาศในสนามกลับมามีพลังมากกว่าเดิม.
เขายังชี้ว่า การยิงประตูใส่ไบรท์ตันหลายลูกในเกมล่าสุดยิ่งช่วยปลดล็อกเชิงจิตวิทยา เพราะถ้าย้อนกลับไปฤดูกาลก่อน แมนฯ ยูไนเต็ดเคยโดนไบรท์ตันเล่นงานแบบเจ็บ ๆ และแพ้อย่างชัดเจนหลายครั้ง ไบรท์ตันไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่พวกเขาชนะได้ง่ายในช่วงไม่กี่ปีหลัง.
การยิงได้สี่ประตูในเกมเดียว (และปิดเกมได้แบบไม่หลุด) จึงถูกมองว่าเป็นมากกว่าสามแต้ม แต่เป็นสัญญาณว่าพวกเขาเริ่มตอบสนองกดดันได้ดีขึ้นในเกมใหญ่
“กำลังเลี้ยวโค้ง” แต่ยังไม่ใช่กลับสู่จุดพีก
ถึงจะชมแมนฯ ยูไนเต็ดชัดเจน เมอร์สันก็ยังไม่ใช่สายมโนเกินจริง เขาบอกว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ยังเร็วเกินไปจะพูดว่าทีม “กลับมาแล้ว 100%”
คำที่เขาใช้คือ แมนฯ ยูไนเต็ดกำลัง “เริ่มเลี้ยวผ่านโค้ง” หรือกำลังออกจากช่วงอันตราย หลังเพิ่งเก็บชัยชนะได้ต่อเนื่อง และสามารถชนะเกมที่หลายคนคิดว่าน่าจะพลาดแต้ม
เขามองว่า สิ่งสำคัญต่อจากนี้คือการรักษาโมเมนตัมต่อเนื่อง ไม่ใช่ชนะเกมใหญ่แล้วกลับไปสะดุดเกมถัดไปแบบที่เราเคยเห็นมาหลายครั้งในช่วงก่อนหน้านี้ของสโมสร.
Brighton = บททดสอบความจริง
อีกประเด็นที่เมอร์สันย้ำ คือคู่แข่งอย่างไบรท์ตันไม่ใช่ทีมที่แมนฯ ยูไนเต็ด “เดินเข้ามาเก็บสามแต้มสบาย ๆ” ตรงกันข้าม ไบรท์ตันเป็นทีมที่เล่นกับยูไนเต็ดได้ดีมากตลอดสองสามปีหลังและมักสร้างปัญหาด้วยเกมเพรสซิ่งและการเข้าทำฉลาด ๆ จนถึงขั้นถูกเรียกว่าเป็น “ของแสลง” ของปีศาจแดง เพราะแมนฯ ยูไนเต็ดแพ้ไบรท์ตันบ่อยในระยะหลัง.
เพราะฉะนั้น การผ่านเกมแบบนี้ด้วยผลการแข่งขันที่ชัด ถือเป็นข้อความส่งถึงแฟนบอลว่า ทีมไม่ได้แค่ชนะจากอารมณ์หรือบังเอิญวันฟอร์มดี แต่เริ่มชนะในเกมที่เสี่ยงตกหลุมได้ตลอด
บทสรุป: ยังไม่ถึงจุดพีก…แต่เริ่มเห็นทิศทาง
สรุปตามมุมมองของเมอร์สัน:
-
แมนฯ ยูไนเต็ดกำลังค่อย ๆ สร้างโมเมนตัม หลังเริ่มเก็บชัยชนะต่อเนื่อง.
-
บรรดาผู้เล่นตัวหลักเริ่มเล่นได้ตามศักยภาพเดิม ความมั่นใจในทีมกลับมา
-
ทีมเริ่มมี “จังหวะเข้าทาง” มากขึ้น ทั้งในเรื่องรายละเอียดในสนามและการตัดสินใจ
-
ชัยชนะเหนือคู่แข่งที่เคยเป็นปัญหาอย่างไบรท์ตัน คือสัญญาณเชิงบวกจริง ไม่ใช่โชคอย่างเดียว.
หรือพูดง่าย ๆ คือ:
แมนฯ ยูไนเต็ดอาจยังไม่ใช่เวอร์ชันแกร่งสุด แต่ดูเหมือนพวกเขากำลังออกจากช่วงอันตราย และเริ่มเดินกลับมาทิศทางที่แฟนบอลอยากเห็นอีกครั้ง.
ติดตามข่าวสาร หรือต้องเดิมพันฟุตบอลออนไลน์ ต้องเว็บนี้เลย ufabet168