5 โจทย์ให้ที่มาเรสก้าต้องแก้ให้ได้

วิเคราะห์: 5 คำถามใหญ่ที่เอ็นโซ่ มาเรสก้า ต้องตอบให้ได้ ถ้าเชลซีอยากกลับมาลุ้นแชมป์

เชลซีเริ่มฤดูกาลเหมือนทีมที่พร้อมจะเป็นผู้ท้าชิงแชมป์พรีเมียร์ลีก หลังเพิ่งคว้าแชมป์สโมสรโลก (FIFA Club World Cup) ด้วยการเอาชนะปารีส แซงต์-แชร์กแม็งในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายคนเชื่อว่าทีมของเอ็นโซ่ มาเรสก้า กำลังยกระดับขึ้นมาอย่างจริงจัง
แต่ความเป็นจริงของซีซันใหม่กลับไม่ง่ายอย่างนั้น เชลซีแพ้ 3 จาก 5 นัดล่าสุดในลีก จบเดือนตุลาคมด้วยผลงานเก็บได้เพียง 6 แต้มจาก 5 นัด อยู่อันดับ 9 ของตาราง และมีแต้มรวมหลังผ่าน 9 เกมน้อยกว่าช่วงเวลาเดียวกันของฤดูกาลก่อน 3 แต้ม ขณะที่ตารางคาดการณ์แต้ม (expected points) ของ Opta จัดให้เชลซีอยู่เพียงอันดับ 11 เท่านั้น

ถึงจะยังไม่เข้าขั้นวิกฤต เชลซียังมีจุดดี เช่น ลูกตั้งเตะที่อันตรายขึ้นหลังการเข้ามาของโค้ชลูกนิ่งอย่าง เบร์นาร์โด้ กูเอวา ที่ดึงมาจากเบรนท์ฟอร์ด และระยะห่างจากอันดับสองยังไม่มากนัก
อย่างไรก็ตาม คำถามใหญ่ก็เริ่มดังขึ้น: เชลซีไปผิดทาง หรือแค่ยังไม่ลงล็อก?
ต่อไปนี้คือ 5 คำถามหลักที่มาเรสก้าต้องหาคำตอบให้เร็ว ถ้าอยากพาทีมกลับไปยืนในกลุ่มลุ้นแชมป์


1. เชลซีควรเน้นเกมรุกแบบตรงไปข้างหน้า (ดุดัน เสี่ยงมากขึ้น) มากกว่านี้หรือไม่?

สองผลงานที่ถือว่าสำคัญที่สุดของเชลซีจนถึงตอนนี้ คือการชนะปารีส แซงต์-แชร์กแม็งในนัดชิงชนะเลิศสโมสรโลก และการชนะลิเวอร์พูลในพรีเมียร์ลีกต้นเดือนตุลาคม ทั้งสองเกมมีแท็กติกคล้ายกันมาก: เชลซีไล่เพรสตัวต่อตัวสูง กดดันแดนกลางคู่แข่งจนเสียบอล แล้วสวนกลับเร็วเป็นประตู นี่ต่างจากสไตล์ปรกติของมาเรสก้า ที่ปกติพยายามเล่นบอลคอนโทรล จังหวะค่อย ๆ ประกอบเกมตามแนวคิดฟุตบอลครองบอลแบบเป็นระบบ

แปลว่ากุนซือชาวอิตาเลียนเริ่มยอม “คลายกฎ” และหันมาเล่นฟุตบอลที่ตรงไปที่ประตูมากขึ้น เหมือนหลายทีมในพรีเมียร์ลีกยุคนี้ที่เน้นความรวดเร็วและความดุดันเป็นหลัก ไม่ใช่ครองบอลอย่างเดียว

อย่างไรก็ตาม เชลซียังดูระมัดระวังเกินไปในหลายช่วง โดยเฉพาะการเปลี่ยนตัวสำรอง มีจังหวะโดนวิจารณ์ว่าเปลี่ยนตัวค่อนข้างถอย เช่น เกมแพ้ซันเดอร์แลนด์ที่ถอดทั้งคนยิงประตู (อเลฆานโดร การ์นาโช่) และกองหน้าธรรมชาติรายเดียวในสนาม (มาร์ก กีอู) ออก หรือเกมกับไบรท์ตันที่เลือกถอดตัวรุกออกทีละคนแล้วใส่แนวรับลงมาช่วยป้องกันแทน ทำให้ทีมเสียความดุดันปลายเกม

ตัวเลขก็สะท้อนภาพนี้: ความเร็วในการพาบอลพุ่งเข้าหาประตูคู่แข่งโดยตรงของเชลซี (direct speed) อยู่เพียง 1.58 เมตรต่อวินาที ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในพรีเมียร์ลีก ณ ตอนนี้ หมายความว่ายังเล่นค่อนข้างระมัดระวังเมื่อเทียบกับคู่แข่งรายอื่น

คำถามคือ มาเรสก้าจะกล้าเดินหน้าเต็มรูปแบบกับสไตล์เร็ว ดุดัน เสี่ยงสูงขึ้นหรือยัง? เพราะทุกครั้งที่เชลซีเร่งจังหวะและเพรสสูง ผลงานมักออกมาดี


2. ถึงเวลายึดแผงหลัง 4 คนแบบคงที่หรือยัง?

ปัญหาเกมรับของเชลซีตอนนี้ชัดเจนพอ ๆ กับปัญหาเกมรุก เชลซีทำความผิดพลาดที่นำไปสู่การโดนยิงหรือโดนจบสกอร์แล้วถึง 9 ครั้งในฤดูกาลนี้ ซึ่งติดกลุ่มสูงของลีก และตัวเลขค่า xG ที่เสียสะสม (ประมาณ 13.1) ก็จัดว่าเยอะติดอันดับต้น ๆ เช่นกัน แปลว่าคู่แข่งยังมีโอกาสคุณภาพสูงใส่เชลซีมากเกินไป

ส่วนหนึ่งมาจากอาการบาดเจ็บของกองหลังหลักอย่าง เลวี่ โคลวิลล์ และ เวสลี่ย์ โฟฟาน่า ที่ทำให้ทีมขาดความนิ่งด้านประสบการณ์ อีกส่วนมาจากการที่มาเรสก้ายังปรับไลน์กองหลังอยู่ตลอด เขาเปลี่ยนอย่างน้อย 1 ตำแหน่งในแผงแบ็กโฟร์เกือบทุกนัด และมีหลายครั้งที่เปลี่ยนถึง 2 คนในแนวรับตัวจริง แถมระหว่างเกมก็เปลี่ยนกองหลังบ่อยมาก เชลซีปรับกองหลังผ่านการเปลี่ยนตัวไปแล้วถึง 15 ครั้งใน 9 นัดพรีเมียร์ลีกแรกของซีซัน และทดลองใช้ชุดแบ็กโฟร์แตกต่างกันถึง 6 แบบ

แน่นอน การสลับผู้เล่นบ่อย ๆ ทำให้ทีมยืดหยุ่น แต่ก็แลกมากับการที่แนวรับยังอ่านใจกันไม่ออกและยืนตำแหน่งไม่เป๊ะในจังหวะอันตราย คำถามคือ มาเรสก้าควร “ล็อก” แบ็กโฟร์ให้ชัด แล้วปล่อยให้เล่นร่วมกันต่อเนื่องเพื่อสร้างพื้นฐานเกมรับที่นิ่งกว่านี้หรือไม่


3. ทีมที่อายุน้อยที่สุดในลีก จะรับมือความกดดันได้ยังไง?

เชลซีชุดนี้อายุเฉลี่ยเพียงราว 24 ปี กับ 112 วัน ซึ่งเป็นค่าอายุเฉลี่ยที่ต่ำที่สุดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ และที่น่าสนใจกว่านั้นคือ มาเรสก้ายังไม่เคยส่งผู้เล่นอายุเกิน 30 ลงสนามเลย นี่คือทีมที่สร้างขึ้นบนความสดและพลังหนุ่มล้วน ๆ

ความอายุน้อยมีสองด้าน ด้านบวกคือความกล้าเล่น ความหิว และความเร็วในการไล่บอลตลอด 90 นาที แต่ด้านลบคือ “ความไม่เสถียร” หรือความผันผวนของฟอร์ม ซึ่งเห็นได้ชัดจากเชลซีตอนนี้: บางนัดเล่นได้ดุดัน กัดไม่ปล่อย อย่างเกมใหญ่กับลิเวอร์พูล แต่บางนัดกลับเสียสมาธิช่วงท้าย หรือเสียประตูง่ายจากความผิดพลาดรายบุคคล

ที่สำคัญ เชลซีไม่ได้ดองตัวเก๋าไว้ข้างสนามแล้วไม่ใช้ แต่จริง ๆ คือแทบไม่มีนักเตะวัย 30+ ให้เรียกใช้เลย หมายความว่ากระดูกสันหลังของทีมต้องถูกสร้างภายใน โดยอาศัยคนหนุ่มเองค่อย ๆ เติบโตขึ้นมาเป็นผู้นำระหว่างซีซัน ไม่ใช่พึ่ง “รุ่นพี่” มาแก้จังหวะทีมแกว่ง

คำถามต่อมาเรสก้าคือ เขาจะพาทีมที่เด็กมากขนาดนี้ให้ยืนระยะตลอดฤดูกาลได้อย่างไร ในสภาพพรีเมียร์ลีกที่เข้มทั้งร่างกายและจิตวิทยา


4. ใครจะเป็นคนจบสกอร์คม ๆ ระหว่างที่ไม่มี โคล พาล์มเมอร์?

โคล พาล์มเมอร์ คือดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกของเชลซีเมื่อฤดูกาลก่อน (15 ประตูในลีก) และเป็นคนที่ทำให้เชลซีมีความเฉียบคมในพื้นที่สุดท้ายอย่างชัดเจน แต่ตอนนี้เขายังไม่พร้อมคืนสนามเต็มรูปแบบจนกว่าจะถึงเดือนธันวาคม ขณะที่อันดับสองของทีมเมื่อฤดูกาลก่อนอย่าง นิโกลัส แจ็คสัน ก็อำลาทีมไปแล้ว

เชลซีฤดูกาลนี้ยิงรวม 17 ประตู ซึ่งนับว่าสูงระดับหัวตารางพรีเมียร์ลีกในแง่จำนวน แต่มาจากนักเตะกระจายกันถึง 10 คน แตกต่างกันไป ไม่ได้มี “ตัวจบ” คนเดียวที่การันตีประตู แน่นอนว่าการแชร์กันยิงดูเป็นเรื่องดี แต่ปัญหาคือเวลาทีมต้องการประตูเฉพาะหน้า เช่น เกมที่อึดอัดหรือเกมที่นำบาง ๆ ยังไม่ค่อยมีคนที่ยืนค้ำเป็นหน้าเป้าแล้วปิดบัญชีให้ทีมได้แบบแน่นอน

จนถึงตอนนี้ เอ็นโซ่ แฟร์นานเดซ และ มอยเซส ไกเซโด้ กลายเป็นคนยิงสูงสุดของทีมซีซันนี้ที่คนละ 3 ลูก ซึ่งสะท้อนว่ากองกลางต้องช่วยสกอร์เยอะมากกว่าปกติ ขณะที่ดาวรุ่งอย่างมาร์ก กีอู ยังไม่สามารถยิงประตูในลีกได้ ส่วน เจา เปโดร ชอบถอยต่ำมาช่วยเชื่อมเกมมากกว่าจะยืนเป็นหอกยืนค้ำตลอดเวลา

ข่าวดีคือ เลียม เดลาป กำลังจะหายเจ็บกลับมา ซึ่งสไตล์วิ่งทะลุช่องตรง ๆ ของเขาอาจเป็นสิ่งที่เชลซีกำลังขาดอยู่ในตอนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าทีมต้องการเร่งสปีดพาบอลเข้าพื้นที่สุดท้ายแบบฉับพลันมากขึ้น

โจทย์คือ ระหว่างรอพาล์มเมอร์ เชลซีจะหาคนการันตีประตูแบบคม ๆ ได้ไหม


5. เชลซีจะรักษาสกอร์นำให้กลายเป็นชัยชนะได้หรือยัง?

อีกหนึ่งปัญหาที่เห็นชัดคือการปิดเกม เชลซีเสียแต้มจากสถานการณ์ที่ตัวเองขึ้นนำไปแล้วรวม 8 แต้มในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ และ 6 แต้มในนั้นเกิดขึ้นที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ ซึ่งปกติควรเป็นสนามที่ทีมควบคุมเกมได้ดีกว่า

นี่ไม่ใช่เรื่องแท็กติกอย่างเดียว แต่ยังเป็นเรื่องวินัยในสนามด้วย เชลซีโดนใบแดงในลีกไปแล้ว 3 ครั้ง ซึ่งมากกว่าทีมอื่น ๆ หลายเท่า และถ้านับทุกรายการ (ไม่รวมสโมสรโลก) ก็มีถึง 5 ใบแดง ตัวเลขแบบนี้อยู่ในระดับที่ “รักษาสกอร์นำยากมาก” เพราะพอเหลือผู้เล่นน้อยกว่าคู่แข่ง เกมจะไหลกลับทันที

เมื่อมองรวมกันจะเห็นภาพเดียวกันกับทุกคำถามด้านบน:

  • ถ้าเกมรับมีโครงสร้างชัดและลงตัวกว่านี้ การนำ 1-0 อาจเพียงพอ

  • ถ้าทีมมีประสบการณ์มากขึ้น ไม่พลาดง่าย ก็ไม่ปล่อยให้คู่แข่งกดคืน

  • ถ้ามีตัวจบสกอร์ชัดเจน การนำ 1-0 อาจขยายเป็น 2-0 แล้วคุมเกมได้สบายกว่า

ทั้งหมดนี้เชื่อมกันเป็นจิ๊กซอว์เดียว


สรุป

เชลซีภายใต้เอ็นโซ่ มาเรสก้า ไม่ได้เป็นทีมที่ “ล้มเหลว” แต่เป็นทีมที่กำลังหาคำตอบให้ตัวเองท่ามกลางความไม่เสถียร: เล่นจะเอารัดเอาเปรียบพื้นที่เร็วแค่ไหน, จะหยุดสลับแนวรับได้หรือยัง, จะพึ่งเด็กอายุน้อยสุดในลีกได้ยาวแค่ไหน, จะหาตัวจบคม ๆ ในช่วงไร้โคล พาล์มเมอร์ได้หรือไม่ และจะเลิกปล่อยให้เกมหลุดมือหลังขึ้นนำได้เมื่อไหร่

คำตอบของ 5 เรื่องนี้จะเป็นตัวกำหนดว่า เชลซีปีนี้เป็นแค่ทีมศักยภาพสูงแต่ยังไม่ลงล็อก…หรือเป็นทีมที่พร้อมยืนระยะบนหัวตารางจริงในท้ายฤดูกาล

และทั้งหมดนี้ก็คือบทสรุปที่ทางวิเคราะห์ออกมา หากท่านไม่อยากพลาดข่าวสารฟุตบอลพรีเมียร์ลีก เพียงคลิก ufabet168 ที่อัปเดตข่าวกีฬามันส์ พร้อมระบบแทงบอลออนไลน์ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย